วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Cosplay ~


คอสเพลย์ (Cosplay หรือ Cos'Play) เป็นการผสมคำภาษาอังกฤษระหว่างคำว่า Costume ซึ่งแปลว่า เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และ Play ที่แปลว่า การเล่นดังนั้น Costume + Play จึงแปลตรงๆว่า การเล่นเสื้อผ้า แต่ที่นิยามให้ชัดเจนที่สุดคือ "การแต่งตัวเลียนแบบ" 
เนื่องจากศัพท์คำว่า Cosplay นั้น เป็นศัพท์เฉพาะที่ไม่มีการบัญญัติในภาษาอังกฤษนั้น จึงทำให้มีการพูดถึงนิยามอยู่เสมอ ทั้งนี้ ก็มีอีกนิยามว่า Cosplay มาจาก Costume+Roleplay ซึ่งคำว่า Roleplay นี้แปลว่า สวมบทบาท ซึ่งก็จะทำให้นิยามความหมายได้ชัดกว่าคือ "การแต่งกายสวมบทบาท"


แต่ทั้งนี้ Cosplay = Costume + Play ก็ยังถือว่าเป็นนิยามที่ได้รับการยอมรับในทางสากลมากกว่าอยู่ดี 

สำหรับการมีการใช้คำว่า Cosplay อย่างชัดเจนที่สุดเกิดขึ้นเมื่อ Nov Takahashi (ซึ่งมาจากสตูดิโอ Studio Hard ของญี่ปุ่น) บัญญัติศัพท์คำว่า "Cosplay" ขึ้นมาเพื่อเป็นการย่อคำจากคำศัพท์ภาษาอังกฤษคำว่าcostume play เมื่อตอนที่แสดงงานเมื่อ ค.ศ. 1984 (พ.ศ.2527) ณ งาน los Angeles Science Fiction Worldcon ซึ่งเค้าได้บอกว่าเป็นชุดที่มีในหนังสือนวนิยายวิทยาศาสตร์ของญี่ปุ่น
สำหรับคำว่า Cosplay ในปัจจุบันนั้น นิยามที่ชัดที่สุดคือ "การแต่งกายเลียนแบบ" โดยเป็นการเลียนแบบตัวละคร หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น การ์ตูน เกม วงดนตรี นวนิยาย Visual Kei วงศิลปิน ภาพยนตร์ ฯลฯ ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความรัก ความชอบ ในสิ่งที่ได้เลียนแบบนั้นๆ ทั้งนี้นอกจากเลียนแบบชุดแต่งกายแล้ว ยังอาจจะรวมไปถึงเลียนแบบกิริยา ท่าทาง บุคคลิก ต่างๆของต้นแบบอีกด้วย โดยผู้ที่คอสเพลย์นั้นมักเรียกว่า เลเยอร์ หรือย่อมาจาก Cosplayer นั่นเอง
สำหรับในไทยนั้น ที่นิยมมากที่สุด เช่น
คอสเพลย์การ์ตูน
คอสเพลย์เกม
คอสเพลย์ J-Rock
คอสเพลย์ตามศิลปิน
คอสเพลย์ตามตัวละครซุปเปอร์ฮี่โร่
คอสเพลย์ตามนิยาย

โดยทั้งนี้การแต่งกายเลียนแบบนั้น อาจจะมีทั้ง แต่งกายให้เหมือนทั้งหมด หรือ ดัดแปลงเล็กน้อย สร้างสรร แต่ยังคงเอกลักษณ์ของตัวที่เลียนแบบนั่นๆ


หลังจากนั้นเป็นต้นมา Cosplay ก็ ได้แพร่หลายตามความนิยมของการ์ตูนญี่ปุ่นไปทั่วโลก ทั้งในเอเชีย ยุโรป อเมริกาใต้และเหนือ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มผู้อ่านและผู้ชมที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จากการประมาณของ www.cosplay.com ซึ่งเป็นชุมชน Cosplay ของโลกที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งบนอินเทอร์เนตได้ประมาณการไว้ว่าผู้ที่แต่งคอสเพลย์ทั่วโลกในปัจจุบันมีไม่ต่ำกว่า 1 แสนคน จนถึงขนาดมีการประกวด Cosplay เพื่อคัดเลือกเป็นตัวแทนจากแต่ละประเทศเพื่อมาประกวดความสามารถบนเวทีในรอบสุดท้ายในประเทศญี่ปุ่นในชื่องาน World Cosplay Summitและมีการถ่ายทอดสดในโทรทัศน์ผ่านทางเคเบิ้ลท้องถิ่นโดย TV Aichi เป็นประจำทุกปีอีกด้วย
 

สำหรับในประเทศไทยนั้น จุดเริ่มต้นของกิจกรรมการแต่ง Cosplay ส่วนหนึ่งจะมาจากผู้ที่ชื่นชอบ J-Rock ในสมัยที่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงปีพุทธศักราช 2530 ปลายๆ อีกส่วนหนึ่งคือผู้ที่ชื่นชอบการ์ตูนญี่ปุ่นและติดตามข้อมูลโดยตรงจากทาง ญี่ปุ่น ก็ได้มีการรวมกลุ่มเล็กๆเพื่อจัดงานขึ้นมาเมื่อประมาณ พ.ศ. 2541 หลังจากนั้นสำนักพิมพ์การ์ตูนญี่ปุ่นต่างๆ เองก็ได้เริ่มให้ความสนใจจัดกิจกรรมเพื่อตอบสนองความชื่นชอบในลักษณะของการประกวด Cosplay ขึ้นมาบ้าง ซึ่งจุดที่ทำให้ Cosplay เป็นที่รู้จักกันมากขึ้นในสังคมไทย เห็นจะเป็นกระแสของเกมออนไลน์ต่างๆ ที่เริ่มเข้ามาเมื่อช่วงปี พ.ศ. 2545 โดย Cosplay ก็ เป็นกิจกรรมหลักๆ ที่ผู้นำเข้าเกมส์ทุกบริษัทจะจัดขึ้นมาเพื่อสร้างความคึกคักให้กับตัวงาน โดยเฉพาะเกมส์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอย่าง Ragnarok Online ซึ่งสื่อต่างๆ ก็ได้นำเอาเรื่องของ Cosplay ไปเผยแพร่จนมีผลทำให้บุคคลทั่วๆไปได้รู้จักกิจกรรมนี้กันมากยิ่งขึ้น จากที่แต่เดิมนั้นจะเป็นรู้จักเฉพาะในวงแคบๆ เท่านั้น
 

ผู้ที่แต่ง Cosplay หรือที่มักจะเรียกกันว่า Cosplayer ใน ประเทศไทย ส่วนมากแล้วจะเป็นวัยรุ่นหญิงที่อยู่ในระดับตั้งแต่มัธยมต้นไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งจุดเริ่มต้นส่วนใหญ่ที่ทำให้หลายๆคนตัดสินใจมาแต่ง Cosplay จะ เกิดขึ้นจากความชื่นชอบในการอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นมาก่อน เมื่อมีการพูดคุยและเกิดการรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ประกอบกับมีการพบเห็นเนื้อหาเกี่ยวกับ Cosplay ตามสื่อ ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนิตยสาร หรือหนังสือพิมพ์ หรือจากการรวมกลุ่มของผู้ที่ชื่นชอบและพูดคุยกับบนอินเทอร์เนตตามเว็บไซต์ ต่างๆ ซึ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับงานที่จะเกิดขึ้น จึงทำให้เกิดความสนใจ มีการชักชวนและรวมกลุ่มเพื่อเลือกเรื่องที่จะแต่งตามใจชอบ ทำหาข้อมูลของชุดตัวละครเพื่อมาวิเคราะห์และเลือกซื้ออุปกรณ์ต่างๆ เช่น เนื้อผ้า ลวดลาย วัตถุดิบต่างๆ เพื่อนำมาตัดชุดและทำอุปกรณ์ตามแบบที่ตัวละครของเรื่องนั้นๆมีอยู่ หรือที่เรียกว่าการแกะแบบ จากนั้นจึงจะเป็นการจ้างร้านตัดเสื้อเพื่อตัดชุด หรือจะมาลงมือตัดชุดด้วยตัวเองก็ตาม และอีกทางเลือกหนึ่งที่มีในต่างประเทศสำหรับผู้ที่ชื่นชอบอย่างเช่นญี่ปุ่น ก็คือการไปเลือกซื้อเสื้อผ้าหรืออุปกรณ์สำเร็จรูป เช่น ดาบ วิกผม และอื่นๆ ตามตัวละครที่ชอบและสนใจ โดยเหมือนกับลักษณะของร้านเสื้อผ้าทั่วไปให้มาเลือกซื้อได้อย่างสะดวก โดยราคาของแต่ละสิ่งก็จะแตกต่างไปตามความละเอียดและความยากของการตัดชุด หรือการทำอุปกรณ์นั้นๆขึ้นมา

 
ไม่ว่าจะได้ชุดและอุปกรณ์มาด้วยวีธีการอย่างไร สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการแต่ง Cosplay คือการสวมวิญญาณให้ได้เหมือนกับลักษณะนิสัยของบุคคลหรือตัวละครนั้นๆ ให้ได้มากที่สุด โดยจะแบ่งได้ 2 แบบ คือ การไปเลือกสถานที่ที่จะถ่ายรูปด้วยตัวเอง หรือที่มักจะเรียกกันว่า Private Cos. และการมาร่วมงานการ์ตูนต่างๆ เพื่อเป็นการร่วมสนุกกับผู้ที่ชื่นชอบในสิ่งที่เหมือนๆกัน ซึ่งบางงานก็อาจจะมี Theme ที่ผู้จัดงานขอความร่วมมือให้แต่งกายมาเฉพาะตัวละครที่มาจากเรื่องนั้นๆเท่านั้น เช่นจากการ์ตูนเรื่อง Gundam เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่แล้ว ในประเทศไทยจะไม่มีงานลักษณะนี้มากนัก เมื่อเทียบกับจำนวนงานในปัจจุบันที่มีตัวเลือกให้ร่วมหลากหลายมากกว่า 20 งานในทุกช่วงเวลาของปี และไม่เพียงแค่เฉพาะในเขตกรุงเทพเท่านั้น ในปัจจุบันยังมีการจัดงานไปที่เชียงใหม่และขอนแก่นอีกด้วย แต่ละงานก็จะมีจำนวนผู้เข้าร่วมงานไม่ต่ำกว่า 1,000 คน ทุกครั้งไป และที่น่าสนใจกว่านั้น ส่วนมากแล้วผู้ที่ดำเนินการจัดงานเหล่านี้ก็มักจะเป็นวัยรุ่นที่มีอายุ อยู่ในระดับเดียวกัน นอกจากนั้นจะเป็นบริษัทเอกชนต่างๆ ที่มีการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับ Cosplay หรือสำนักพิมพ์การ์ตูนต่างๆที่จะจัดงานประจำปีขึ้นมาเพื่อให้แต่ละคนมีโอกาสร่วมสนุกและรวมกลุ่มเพื่อนๆกัน รวมถึงบรรดาผู้ปกครองที่บางครั้งก็จะมาร่วมงานด้วยกันเพื่อช่วยบรรดาลูกๆ ในเรื่องต่างๆ เช่น การเลือกซื้ออุปกรณ์ต่างๆ การแต่งหน้า หรือการแต่งตัวให้ออกมาดูดีและสวยงามมากขึ้นไปอีก

ดังนั้น Cosplay จึง เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่วัยรุ่นจะได้ใช้เวลาว่างกับสิ่งที่ชื่นชอบและไปพบปะ กับเพื่อนๆที่ชื่นชอบสิ่งเดียวกัน และอาจจะเป็นการเป็นกิจกรรมกิจกรรมสำหรับครอบครัวในวันหยุดพักผ่อนไปในตัว อีกทั้งยังมีประโยชน์ในการเสริมสร้างทักษะหลายๆอย่างทั้งทางอ้อมและทางตรง ไม่ว่าจะเป็นการฝึกการเข้าสังคม การทำงานร่วมกัน เป็นกลุ่ม การฝึกความกล้าแสดงออกในสิ่งที่ถูกต้อง หรือการฝึกแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ท่าถ่ายรูปหรือการแสดงบนเวทีที่จะต้องมีการเตรียมการ มาก่อน หากมีปัญหาใดๆเกิดขึ้นว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร สิ่งต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น รวมถึงความสวยงามของชุดจากการ์ตูนเรื่องต่างๆ จึงเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูด และทำให้มีผู้สนใจที่จะแต่ง Cosplay ตามงานการ์ตูนต่างๆมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน 

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ชิบะ อินุ




ลักษณะทั่วไปของ
ชิบะอินุเป็นสุนัขพันธุ์ดั้งเดิม

คุณสมบัติของสุนัข


  • ขนาดตัว
    กลาง
  • ดูแลรักษา
    ความสะอาด
    1 ครั้ง/2 สัปดาห์

  • ความยาวขน
    สั้น

  • ออกกำลังกาย
    ทุกวัน
  • พละกำลัง/
    ความแข็งแรง
    ปานกลาง








  • เป็นมิตร
    กับเด็ก
    มาก
  • ทนต่อ
    อากาศร้อน
    น้อย
  • ทนต่อ
    อากาศหนาว
    มาก
  • พื้นที่
    ในการเลี้ยง
    ปานกลาง














ลักษณะทั่วไป

     ชิบะอินุเป็นสุนัขพันธุ์ดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่มีขนาดเล็กที่สุด เป็นสุนัขในตระกูลเดียวกันกับพันธุ์อะคิตะ (Akita) รูปร่างกระทัดรัด หูตั้ง กล้ามเนื้อกระชับ ขนสั้น 2 ชั้น มีทั้งสีดำผสมสีน้ำตาล สีแดง หรือ สีงาแดง ดวงตาสดใสและรูปริมฝีปากโค้งเหมือนกับกำลังยิ้ม ชิบะอินุ เป็นสุนัขอารมณ์ดี เป็นมิตร ตื่นตัว ฉลาดหลักแหลม  มีอายุเฉลี่ยประมาณ 12-15 ปี แต่มีสายพันธุ์ ชิบะ ปูสุเกะ (Shiba Pusuke) ซึ่งได้รับการออกกำลังอย่างเป็นกระจำจนร่างกายแข็งแรง สามารถอยู่ได้ยืนยาวถึง 26 ปี

ความเป็นมา

     ชิบะ อินุ มีต้นกำเนิดสายพันธุ์มาจากสุนัขล่าสัตว์ที่เติบโตอยู่ในบริเวณภูเขาของประเทศญี่ปุ่น ถือว่า เป็นสุนัขพื้นเมืองของชาวญี่ปุ่น เลี้ยงไว้ล่าสัตว์เล็กๆ  คำว่า “ชิบะ” หมายถึงพุ่มไม้หนา “อินุ” หมายถึง สุนัข ชิบะ อินุเป็นสุนัขที่ได้รับมาตรฐานสายพันธุ์แรกของญี่ปุ่น และได้รับการยอมรับและตั้งเป็นอนุสาวรีย์ของญี่ปุ่นผ่านกฎหมายทางทรัพย์สินทางวัฒนธรรม เพื่อการอนุรักษ์ของสุนัขญี่ปุ่น  ชิบะ  อินุเคยเกือบจะสูญพันธุ์เมื่อช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลมาจากระเบิด สารเคมีและเชื้อโรค แต่หลังจากสงครามได้มีการนำชิบะ อินุที่เหลืออยู่ 3 สายเลือดคือ ชินชุ ชิบะ จากจังหวัดนากาโน่  มิโน ชิบะ จากจังหวัดไอจิ และ ซานอิน  ชิบะ จากจังหวัดทตโตะริและจังหวัดชินามิ มาผสมพันธุ์และพัฒนาสายพันธุ์มาเป็นที่รู้จักจนถึงทุกวันนี้

{pic-alt}

รถไฟชินคันเซ็น


ชินคันเซ็น...เป็นรถไฟความเร็วสูงชั้นนำของโลกที่เชื่อมระหว่างเมืองต่างๆในญี่ปุ่น แล่นด้วยความเร็วเกือบ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ช้ากว่ารถฟอร์มูล่า 1 เล็กน้อย) และมีเครือข่ายรางรถไฟที่กินระยะทางถึง 2,459 กิโลเมตร "รถไฟหัวกระสุน" นี้ ไม่เพียงโด่งดังไปทั่วโลกในเรื่องของความเร็วเท่านั้น (ในการวิ่งทดสอบบางครั้ง สามารถทำความเร็วได้เกือบ 450 กิโลเมตรต่อชั่วโมง!) แต่ยังมีประวัติความปลอดภัยที่เป็นเลิศและก็ตรงเวลาแบบสุดๆ โดยเวลาดีเลย์เฉลี่ยตลอดปีของชินคันเซ็น คือ 0.4 นาที ซึ่งตัวเลขดังกล่าวรวมความล่าช้าที่เกิดจากแผ่นดินไหว ไต้ฝุ่น หิมะตก ฝนตกหนัก และภัยธรรมชาติอื่นๆเข้าไว้ด้วยแล้ว นอกจากนี้ ผู้โดยสารมากกว่า 6 พันล้านคนยังเดินทางไปถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัยตลอดประวัติศาสตร์ 40 ปีของการให้บริการและไม่เคยมีผู้เสียชีวิตจากสาเหตุรถไฟตกรางหรือการชนกัน 


ชินคันเซ็น...ได้รับสมญานามว่า  " รถไฟหัวกระสุน " เนื่องจากจมูกของรถไฟที่มีรูปร่างคล้ายกับหัวกระสุน โดยได้รับการพัฒนาขึ้นในช่วงต้นยุค 1960 และเสร็จสิ้นทันเวลาสำหรับใช้ในโอลิมปิกที่โตเกียวในปี 1964 ชินคันเซ็นใช้รางรถไฟขนาดมาตรฐาน (ระยะห่างระหว่างรางกว้างกว่าที่ใช้กันในทวีปอเมริกาเหนือ) มีลักษณะเป็นเส้นตรงและจำกัดทางคดเคี้ยวให้เหลือน้อยที่สุด ส่งผลให้เส้นทางมีความตรง เสถียร และปลอดภัยมากขึ้นเพื่อให้สามารถแล่นด้วยความเร็วสูง รถไฟในอเมริกาเหนืออาจจะแล่นสู่จุดหมายด้วยเส้นทางที่อ้อม ทว่าชินคันเซ็นเชื่อในแนวคิดเรื่องการเดินทางโดยไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า ยิ่งกว่านั้น รถไฟยังแล่นอย่างรวดเร็วจนบ่อยครั้งทำให้เกิด "ทันแนล บูม" (คล้ายกับโซนิค บูม) ขณะที่พุ่งออกจากอุโมงค์ ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเมื่อรถไฟแล่นเข้าอุโมงค์ด้วยอัตราความเร็วที่สูงมาก ทำให้เกิดความกดอากาศขึ้น แต่เมื่อไม่มีพื้นที่ในอุโมงค์มากพอให้อากาศถ่ายเท จึงเกิดเป็น "คลื่นเสียง" ตรงบริเวณปากทางออกขณะที่รถไฟพุ่งออกจากอุโมงค์


ปัจจุบัน...รถไฟชินคันเซ็นเปิดให้บริการ 6 สาย เชื่อมต่อเมืองต่างๆบนเกาะฮนชูและคิวชูของญี่ปุ่นเข้าด้วยกัน เส้นทางรถไฟสายแรกที่สร้างและเปิดให้บริการ คือ "โทไกโด ชินคันเซ็น" จากกรุงโตเกียวไปโอซาก้า โดยทุกวันนี้ โทไกโด ชินคันเซ็น เป็นเส้นทางเดินรถไฟความเร็วสูง ที่มีผู้ใช้บริการมากที่สุดในโลกและช่วยลดระยะเวลาการเดินทางจาก 6 ชั่วโมง ให้เหลือเพียงประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ทำให้มีผู้มองหา ที่พักในโอซาก้า เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากเป็นเมืองสบายๆ ตรงกันข้ามกับ ที่พักในโตเกียว ที่วุ่นวาย โอซาก้าคือจุดสิ้นสุดของเส้นทางสายโทไกโดชินคันเซ็น และยังเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางสายซันโยชินคันเซ็น ซึ่งจะมุ่งหน้าไปยังเมืองฟุกุโอกะบนเกาะคิวชู สำหรับเส้นทางรถไฟสายใหม่ล่าสุดในเครือข่าย ได้แก่ คิวชู ชินคันเซ็น โดยเชื่อมต่อระหว่างเมืองต่างๆบนเกาะทางภาคใต้ และด้วยเส้นทางรถไฟทั้งหมดที่ตัดผ่านภูมิประเทศที่สวยงามอย่าง นากาโนะ อาคิตะ คาคุโนดาเตะ ทะเลสาบทาซาว่า และนิงาตะ ผู้โดยสารจึงจะมองเห็นสถานที่ยอดนิยมทั้งหลายของญี่ปุ่นกลายเป็นเพียงภาพเบลอในขณะที่รถไฟแล่นผ่าน
ตั๋วโดยสารสำหรับชินคันเซ็นสามารถหาซื้อได้ที่เครื่องออกตั๋วอัตโนมัติ หรือเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วที่สถานีรถไฟ แม้ว่าอาจจะต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกนั่งรถไฟท้องถิ่นอยู่บ้างก่อนจะได้ใช้บริการรถไฟความเร็วสูง เนื่องจากข้อมูลส่วนใหญ่ที่สถานีเป็นภาษาญี่ปุ่น
................................................ 

คาไมทาจิ Kamaitachi

คาไมทาจิ (Kamaitachi : 鎌鼬) 
 Masasumi_Kamaitachi
เป็นภูตลมในตำนานความเชื่อของญี่ปุ่นเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเหมือนสายลม ความเชื่อนี้มาจากในสมัยโบราณนั้นมีผู้คนที่ถูกลมที่พัดแรงขึ้นอย่างกระทันหันชนเข้าที่ตัวจนทำให้เกิดแผลขึ้น คนโบราณเชื่อว่าแผลที่เกิดขึ้นจากลมนั้นเป็นเพราะตัววีเซิลที่อาศัยอยู่ในลมหมุนทำนั่นเอง… เรื่องเล่าเกี่ยวกับคาไมทาจิมีอยู่ว่าผู้คนที่ขึ้นไปบนภูเขาบางครั้งจะพบกับลมหมุน เมื่อลมหมุนผ่านไปเขาก็จะพบว่าตัวเองมีบาดแผลแต่ไม่รู้สึกเจ็บซึ่งแผลนี้เกิดจากการกระทำของพวกมัน คาไมทาจิที่อาศัยอยู่ในลมหมุนนั้นมีด้วยกัน 3 ตัว และมีพฤติกรรม คือ ตัวแรกจะชนเหยื่อให้ล้ม ตัวที่สองจะฟันเหยื่อให้เป็นแผล ส่วนตัวที่สุดท้ายจะทายาเพื่อห้ามเลือดและระงับอาการเจ็บปวดให้เหยื่อ แต่การจู่โจมบางครั้งก็สร้างบาดแผลร้ายแรงและเจ็บปวดกว่าที่ยาของมันจะรักษาได้
คาไมทาจิจัดว่าเป็นตัวอันตรายต่อมนุษย์ เพราะมีบางตำนานเล่าว่าผู้ที่พบปรากฎการณ์คาไมทาจินั้น บางครั้งไม่ได้ถูกฟันครั้งเดียว แต่จะถูกฟันแล้วทายาแล้วถูกฟันซ้ำๆอีก ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก

ปีศาจจิ้งจอก Kitsune

ปีศาจจิ้งจอก (Kitsune : 狐) 
012-0431
ตามความเชื่อนั้นปีศาจจิ้งจอก คือจิ้งจอกที่มีพลังเวทย์ แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ พวกที่เป็นข้ารับใช้ของเทพอินาริ (เทพแห่งการเพาะปลูก) และพวกที่เป็นปีศาจร้าย ปีศาจจิ้งจอกมีความเชี่ยวชาญในด้านมนต์มายาและวิชาแปลงกาย ว่ากันว่าสุนัขจิ้งจอกที่มีอายุยืนและมีตบะแก่กล้ามากพอ สามารถกลายเป็นปีศาจจิ้งจอกได้ และเมื่อปีศาจจิ้งจอกอยู่จนครบ 100 ปี จะมีหางเพิ่มขึ้นมาหนึ่งหางและมีพลังแข็งแกร่งขึ้น ถ้าหากหางของมันงอกขึ้นจนครบเก้าหางเมื่อไหร่ละก็จะมีพลังมหาศาลและฉลาดมีไหวพริบอย่างมาก

ปีศาจจิ้งจอกนั้นมีสังคมคล้ายคลึงกับมนุษย์ ทั้งสวมใส่เสื้อผ้าและยืนสองขา บางครั้งก็เข้ามาปะปนอยู่กับคนธรรมดา เพราะสามารถแปลงกายได้แนบเนียนจนคนธรรมดาจับไม่ได้ ปีศาจจิ้งจอกตนใดถูกมนุษย์จับได้ก็จะถูกลงโทษอย่างหนักจากสังคมปีศาจจิ้งจอก การที่ปีศาจจิ้งจอกจะสำเร็จวิชาแปลงกายนั้นสามารทำได้หลากหลายวิธี ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการใช้กะโหลกมนุษย์ แต่บางตนก็ไม่ได้ระวังอาจเหลือหลักฐานบางอย่าง อย่างเช่นลืมแปลงกายอวัยวะบางส่วนที่อยู่ใต้เสื้อผ้าได้ มนต์มายาของปีศาจจิ้งจอกลึกล้ำมาก ถึงแม้ว่ามนุษย์จะรู้ว่าตนเองต้องมนต์ของปีศาจจิ้งจอกแล้ว ก็ไม่สามารถขัดขืนได้

วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ร้านมีด คามาตะ ฮาเคนชา

ร้านมีด คามาตะ ฮาเคนชา เป็นกิจการในครอบครัวที่ทำสืบทอดกันมายาวนานกว่า 4 รุ่น ปัจจุบันมี 2 รุ่นที่มีฝีมือการทำมีดในแบบเฉพาะของตัวเองที่ทั้งใช้งานได้อย่างดีเยี่ยมและมีความสวยงาม ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะเลือกใช้เครื่องใช้แบบธรรมดาคุณภาพดีที่ตอบโจทย์การใช้งานในครัวเท่านั้น แต่มีดสลักที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครของร้านนี้สร้างความน่าสนใจให้เข้ามาซื้อได้อย่างดีทีเดียว
ร้านนี้มีมีดกว่า 800 เล่ม เรียงรายกันตามราคาตั้งแต่ 2,500เยน ถึง 180,000 เยน ลวดลายดอกซากุระที่ถูกนำมาสลักบนมีดหั่นผักสร้างความประทับใจได้ไม่น้อย ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกรวมถึงคนที่เดินผ่านไปมาได้อย่างดี แถมยังมีบริการสลักชื่อหรืออักษรย่อลงบนมีดเล่มที่ซื้ออีกด้วย ใช้เวลาทำเพียงแค่ 3 นาทีเท่านี้ก็ได้ของที่ระลึกเจ๋งๆเป็นของตัวเองแล้ว
มีดทั้งหมดในร้านนี้เจ้าของร้านได้ออกแบบเองผ่านฝีมือการประดิษฐ์ขั้นเทพบวกกับการลับมีดแต่ละเล่มเอง ด้วยสายตาที่เฉียบคมในการทำมีดของคุณ Kamata-san เขามองเห็นแม้กระทั่งจุดตำหนิเล็กๆ บนมีด นั่นก็เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าของเขาเป็นสินค้าที่มีคุณภาพดีที่สุดและมีความโดดเด่นกว่าร้านมีดอื่นๆในอาซากุสะ
คอนเซ็ปต์ของร้านคือการเน้นการใช้งานของสินค้า ถึงแม้มีดจะดูสวยงามเพียงใด จุดสำคัญจริงๆอยู่ที่คุณภาพของมัน สมาชิกในครอบครัวทุกคนของเขาก็อาศัยการเรียนรู้จากคนอื่นบ้าง ฝึกฝนจากการไปเป็นลูกมือบ้าง ซึ่งก็ทำให้แต่ละรุ่นเกิดแนวคิดใหม่ๆ ในการประดิษฐ์มีด ถ้าคุณไปที่ร้านอาจจะได้เจอคุณ Kamata-san กำลังลับมีดอยู่ในตู้กระจกเล็กๆก็เป็นได้
คุณ Kamata-san จะคอยให้คำแนะนำก่อนซื้อว่ามีดเล่มไหนเหมาะสำหรับใช้งานอะไร ถ้าคุณได้ซื้อมีดเจ๋งๆมาสักเล่มแล้ว มีดจะถูกเก็บไว้ในกล่องป้องกันเพื่อรักษามีดให้คงอยู่ในสภาพดีแม้ผ่านไปเป็นปีๆ แต่ถ้าคุณชอบใช้งานมันแบบโหดหน่อยก็หายห่วงได้เลย เพราะทางร้านมีบริการดูแลหลังการขายโดยจะลับคมมีดของคุณให้อยู่ในสภาพดีดังเดิม
ในร้านมีมีดหลากสไตล์ให้เลือกมากมายจนน่าตกใจ มีตั้งแต่มีดหั่นผักแบบโบราณไปจนถึงมีดเหล็กด้ามยาวแบบดาบซามูไร อย่างที่บางคนรู้ๆกันอยู่ว่ามีดของเชฟชาวญี่ปุ่นนั้นนับเป็นมีดที่ดีที่สุดในโลกเลยทีเดียว เหมาะแก่การแล่ปลาทูน่าและอาหารประเภทอื่นๆ ถ้าคุณอยากมีประสบการณ์ทำอาหารญี่ปุ่นที่แท้จริงละก็ ไม่ต้องไปเสาะหาที่ไหนอีกแล้ว

GUNDAM Café: Akihabara

GUNDAM Café (Akihabara GUNDAM Café & Bar U.C.0079) เป็นร้านกาแฟที่ก่อตั้งขึ้นโดยบริษัทของเล่นชั้นนำอย่าง Bandai Co., Ltd. จำหน่ายทั้งอาหารคาว อาหารหวาน และเครื่องดื่ม ด้วยสไตล์การตกแต่งเพื่อเอาใจแฟนๆ ของการ์ตูนระดับตำนานอย่างกันดั้ม โดยร้านตั้งอยู่ที่ย่านช็อปปิ้งชื่อดังของกรุงโตเกียว Akihabara (อากิฮาบาระ) และที่สำคัญยังอยู่ไม่ไกลจากสถานี JR Akihabara อีกด้วย เพียงเดินมาจาก Electric Town Exit ไม่กี่นาทีเท่านั้น
ภายในร้านออกแบบด้วยสไตล์โมเดิร์น เน้นสีเรียบหรูอย่างสีขาว และสีดำ พร้อมด้วยรูปภาพตัวละครจากกันดั้มภาคต่างๆ รวมถึงโมเดลพลาสติกหรือที่รู้จักกันในชื่อ GUNPLA (กันพลา) มาจัดเรียงในตู้โชว์อย่างเป็นระเบียบ เช่นเดียวกับเพลงที่เปิดคลอในร้านจะเปิดวนไปเรื่อยๆ ใครที่เป็นแฟนการ์ตูนเรื่องนี้คงจะร้องตามกันได้เป็นอย่างดี
สำหรับอาหารที่มีจำหน่ายก็มีหลากหลายเมนูเลยทีเดียว เริ่มตั้งแต่กาแฟรสชาติเยี่ยมที่ปลูกในเขตจาบูโร่ (Jaburo) ของอเมริกาใต้ ราคาแก้วละ 340 เยน ตามมาด้วยค็อกเทลที่ใช้สีและการตกแต่งแก้วที่ได้แรงบันดาลใจจากคาแรกเตอร์เด่นๆ ในการ์ตูน ราคาอยู่ราวๆ แก้วละ 790 เยน หรือจะเป็นอาหารจานเดียวที่เพิ่มความน่าสนใจของเมนูธรรมดาทั่วไปอย่างข้าวแกงกะหรี่ หรือ สปาเก็ตตี้ ด้วยการจัดวางให้เข้ากับธีมกันดั้ม สนนราคาตั้งแต่ 380-980 เยน ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของเมนูอาหาร คือ จะมีการเปลี่ยนไปตามภาคของการ์ตูนที่ทางร้านนำมาจัดโปรโมชั่นในช่วงนั้นๆ
ขนมทานเล่นที่ขึ้นชื่อของกันดั้มคาเฟ่เห็นจะเป็น GUNPLA-YAKI (กันพลายากิ) ที่ทำมาจากแป้งสาลีกรอบๆ สอดใส่ด้วยถั่วแดงหวานหอม หรือครีม โดยมีต้นแบบมาจากกันดั้ม RX-78-2 ซึ่งเป็นที่คุ้นตากันดี ราคาเพียงชิ้นละ 200 เยน
หลังจากอิ่มอร่อยกับเมนูอาหารนานาชนิด แฟนๆ กันดั้มทุกท่านก็อย่าลืมที่จะซื้อสินค้าที่ระลึกติดไม้ติดมือเสียหน่อย ซึ่งสินค้าก็มีมากมายหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นแก้วเซรามิก สมุดโน้ต ที่รองแก้ว ร่ม ตะเกียบ พวงกุญแจ เสื้อยืด หรือแม้แต่อาหารกึ่งสำเร็จรูป นอกจากนี้ ยังมีตู้กาชาปองสำหรับหยอดเหรียญเสี่ยงดวงว่าจะได้พวงกุญแจแบบใดคอยบริการอยู่หน้าร้านอีกด้วย
วันและเวลาที่เปิดให้บริการ
วันจันทร์ – ศุกร์ เปิดบริการ 10.00 – 23.00 น.
วันเสาร์ เปิดบริการ 08.30 – 23.00 น.
วันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เปิดบริการ 08.30 – 21.30 น.
(อาหารกลางวันเริ่มเสิร์ฟตั้งแต่ 11.00 – 16.30 น. และเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์เริ่มเสิร์ฟตอน 17.00 น.)

วัดอาซากุสะ

เมื่อพูดถึงวัดดังในประเทศญี่ปุ่นแล้ว คงจะหนีไม่พ้นวัดอาซากุสะ หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่าเซนโซจิ (Sensouji : 浅草寺) ที่ว่ากันว่าถ้ามาโตเกียวแล้วไม่ได้มาวัดนี้ถือว่ามาไม่ถึงกันเลยทีเดียว
 OLYMPUS DIGITAL CAMERA
ซึ่งสัญลักษณ์ของวัดนี้ที่คนนิยมมาถ่ายรูปกันก็คือ โคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ที่เขียนตัวอักษรคันจิว่า 雷門 (Kaminari-Mon) แปลว่า ประตูสายฟ้า วัดอาซากุสะนั้นตั้งอยู่บล็อกที่สองของย่านอาซากุสะในเขตไตโตจังหวัดโตเกียว (東京都台東区浅草二丁目) วิธีมาง่ายที่สุดก็คือให้ขึ้นรถไฟ Subway สายอาซากุสะ (Asakusa Line : 浅草線) เส้นสีชมพูโอรส หรือสายกิงซ่า (Ginza Line : 銀座線) เส้นสีเหลืองส้ม มาลงที่สถานีอาซากุสะได้เลย
 1143b4b378fa5f8e7b55049024506c7e
วัดอาซากุสะเป็นวัดในศาสนาพุทธ แต่เดิมนั้นเป็นวัดของนิกายเทนได (天台宗) ต่อมาในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ถูกจัดให้เป็นวัดหนึ่งในอารามชั้นเอกของนิกายอวโลกิเตศวร (聖観音宗の総本山) มีพระอวโลกิเตศวรหรือเจ้าแม่กวนอิมเป็นพระประธาน และถูกจัดให้เป็นวัดอันดับที่ 1 ของการจาริกบูชาเจ้าแม่กวนอิมในเอโดะ 33 แห่ง (江戸三十三箇所観音霊) นอกจากนี้ยังเป็นวัดอันดับที่ 13 จาก 33 แห่ง ของการจาริกบูชาเจ้าแม่กวนอิมในเมืองบันโด (坂東三十三箇所観音霊)
**คนญี่ปุ่นจะเรียกเจ้าแม่กวนอิมว่า “คันนน-ซามะ” (Kannon-Sama : 観音様)** 
 129510029604416324597_236_01_20110115230453
สิ่งแรกที่จะสามารถสังเกตได้เมื่อมาที่นี่ก็คือโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ที่เขียนว่า 雷門 ซึ่งอยู่ด้านหน้าติดกับถนน โดยด้านข้างซ้ายขวานั้นจะมีเทพทวารบาลอย่างฟูจิน (เทพแห่งลม : 風神) และไรจิน (เทพสายฟ้า : 雷神)ประทับอยู่ ส่วนทางด้านหลังของเทพทวารบาลทั้งสองจะมีรูปปั้นของมนุษย์ชายหญิงคู่หนึ่ง ว่ากันว่าเป็นมังกรจำแลงมา… คามินาริมง นั้นถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีหลักฐานปรากฎ มีแต่รายงานบันทึกความเสียหายจากการถูกไฟไหม้ในปี ค.ศ. 1865 หลังจากนั้นหนึ่งศตวรรษ (ประมาณปี 1960) ก็ได้ถูกบูรณะขึ้นมาอีกครั้งด้วยคอนกรีตเสริมใยเหล็ก ส่วนโคมสีแดงนั้นก็ได้รับมาจากประธานของบริษัทมัสซึชิตะเดงคิ (松下電器産業) นำมาถวายเพื่อแก้บนให้หายป่วยจากโรคภัย ในหนึ่งปีนั้นจะมีการยกโคมลูกนี้ไปเก็บด้วย 2 เหตุผลเท่านั้นคือ เนื่องในเทศกาลซานจะ (Sanja-Matsuri : 三社祭り) กับเมื่อมีพายุไต้ฝุ่นเข้าเท่านั้น
 仲見世
พอเดินผ่านคามินาริมงเข้ามาก็จะเจอ ถนนการค้านากามิเสะ (Nakamise : 仲見世) ถนนนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยเอโดะตอนปลาย เพื่อเป็นย่านไว้สำหรับขายของที่ระลึกของเมืองเอโดะ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาพื้นที่บริเวณรอบๆวัดให้เป็นย่านการแสดงศิลปวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นโรงละคร สถานแสดงศิลปะต่างๆ ต่อมาในสมัยเมจิ (明治時代) จึงมีการปรับปรุงย่านการค้าให้เป็นระเบียบมากขึ้น โดยใช้วัสดุก่อสร้างที่มีความคงทน และในสมัยไทโช (大正時代) จึงได้มีการสร้างโรงละครโอเปร่าของอาซากุสะขึ้น (浅草オペラ) ซึ่งเป็นที่สำหรับแสดงละครสมัยใหม่แห่งแรกในญี่ปุ่น
C0F5C1F0BBFB200810
เมื่อเดินมาสุดถนนก็จะพบกับซุ้มประตูใหญ่อีกหนึ่งซุ้ม ซึ่งก็มีโคมกระดาษสีแดงลูกใหญ่แขวนอยู่อีกหนึ่งลูกเขียนว่าโคะบุเนะโจ (小舟町) ด้านซ้ายและขวาจะมีเทพทวารบาลคอยขับไล่สิ่งชั่วร้ายอีก 2 องค์ (金剛力士) ที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า “อา-อุม” ส่วนด้านหลังซุ้มจะมีรองเท้าเชือกสานแบบโบราณขนาดยักษ์แขวนอยู่ฝั่งละข้าง เพื่อเป็นการข่มขู่สิ่งชั่วร้ายทั้งหลายว่านี่เป็นขนาดฝ่าเท้าของเทพทวารบาล
6966274433_e8e000aa03
display
ซึ่งวัดอาซากุสะมีตำนานว่า…
วัดอาซากุสะได้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยจักรพรรดินีซุยโกะ (推古天皇) ในปี ค.ศ. 628 ว่ากันว่ามีพี่น้องชาวประมงสองคนชื่อว่าฮามานาริ ฮิโนคุมะ (Hamanari Hinokuma : 檜前浜成) และทาเกะนาริ ฮิโนคุมะ(Takenari Hinokuma : 檜前竹成) อาศัยอยู่ในบริเวณแม่น้ำมิยาโต (宮戸川) ปัจจุบันคือแม่น้ำสุมิดะ (隅田川) วันหนึ่งสองพี่น้องก็ได้ออกหาปลาดั่งเช่นทุกวัน แต่เมื่อทอดแหจับปลา กลับมีรูปสลักองค์เจ้าแม่กวนอิมติดขึ้นมา ซึ่งมีลักษณะเป็นองค์สีทองมีความยาว 1 ซึน 8 บุน (一寸八分) ประมาณ 5.5 ซม. ทั้งสองจึงได้นำไปถวายพระชั้นผู้ใหญ่ประจำหมู่บ้านที่มีชื่อว่าฮาจิโนะนากาโทโมะ (Hajinonakatomo : 土師中知) แล้วจึงออกบวชตามแรงศรัทธา ส่วนรูปสลักที่ได้มานั้นไม่เคยถูกเปิดเผยในที่สาธารณะเลย แต่ก็มีปรากฏในจดหมายเหตุทั้งพยานวัตถุที่อ้างอิงถึงยุคสมัยนั้นและบริบทต่างๆที่สามารถเชื่อถือได้ ว่ากันว่าพระภิกษุบางรูปได้มีโอกาสเห็นรูปสลักนั้นด้วย
ในปี ค.ศ. 1923 ย่านการค้าอาซากุสะได้เกิดความเสียหายเพียงเล็กน้อยจากแผ่นดินไหวในโตเกียว แต่ว่าในปี ค.ศ. 1945 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 วัดอาซากุสะได้สูญเสียเจดีย์ 5 ชั้น และหอพระอวโลกิเตศวรไปจากการถูกโจมตีทางอากาศ หลังจากนั้นประชาชนจึงร่วมแรงร่วมใจกันบูรณะและฟื้นฟูบริเวณรอบๆวัดขึ้นมาใหม่ด้วยความศรัทธาในเจ้าแม่กวนอิม แล้วจึงพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวจนโด่งดัง
asakusa2

sensoji01

เมื่อเข้ามาในบริเวณวัดจะเห็นกระถางธูปขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางแจ้ง โดยความเชื่อว่าถ้าได้รับควันจากกระถางธูปนี้ติดตัวมาจะมีความโชคดี ฉะนั้นเราจะเห็นคนที่ไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมไปยืนกวักเอาควันธูปเข้าตัวกันเต็มพื้นที่กระถางธูปกันเลย และส่วนที่ศาลเจ้าจะขาดไม่ได้เลยก็คือบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่มีความเชื่อว่าตั้งไว้สำหรับให้ผู้คนไว้ล้างชำระสิ่งสกปรก พอเสร็จจากตรงนี้แล้วก็เดินเข้าไปภายในอาคารเพื่อสักการะเจ้าแม่กวนอิมได้เลย ส่วนรอบๆบริเวณวัดนั้นจะมีขายเครื่องรางของขลัง และมีเซียมซีแบบญี่ปุ่นให้เสี่ยงทายอยู่ด้วย…
3764628447_56833c8f28

cr. http://anngle.org/th/j-culture/culture/sensouji-kannonsama.html

พิพิธภัณฑ์โคนัน

พิพิธภัณฑ์โคนัน
“ทตโทริ” จังหวัดที่เป็นต้นกำเนิดการ์ตูนอย่างเรื่อง “โคนัน” หลายคนติดตามการ์ตูนเรื่องนี้อย่างไม่ขาดสายมายาวนานนับ 10 ปี ซึ่งแม้แต่ผมเองก็ชื่นชมไม่แพ้ใครเช่นกัน เป็นเหตุที่ผมอยากจะไปเยี่ยมชมบ้านเกิดนักสืบผู้ใหญ่ในร่างเด็ก
เข้าสู่เช้าตรู่ในจังหวัดทตโทริ ผมรีบขึ้นรถไฟสถานีหลักเพื่อตรงไปยัง “คุระโยชิ” เมื่อไปถึงแล้วนักเดินทางที่สนใจจะไปเยี่ยมนักสืบจิ๋วจะต้องตื่นตาไปกับขบวนรถไฟที่ตกแต่งเหล่าตัวละครชื่อดังในเรื่อง หลังจากที่ได้ถ่ายรูปไปสักพัก ผมก็ขึ้นรถไฟนักสืบมุ่งหน้าไปยัง “สถานียูระ”
รอบสถานียูระโดดเด่นด้วยสีสันภาพการ์ตูน นายสถานีผู้ใจดีมอบแผนที่และบอกเส้นทางอย่างดีครั้งที่ผมต้องการคนชี้นำ ระหว่างทางเดินไปยังพิพิธภัณฑ์โคนัน ผมได้พบรูปปั้นตัวเอกของเรื่องอย่างเช่น “คุโด้ ชินอิจิ”ที่หน้าร้านหนังสือ หรือ “รัน” กับ “ชินอิจิ” กำลังออกเดท ทั้งนี้ยังมีรูปภาพบนฝาท่อและรั้วริมทางด้วยเช่นกัน
ใช้เวลาราว 20 นาทีสำหรับการเดินจากสถานี ในที่สุดก็มาถึง “พิพิธภัณฑ์โกโช อาโอยาม่า” โดยจ่ายค่าเข้า 700 เยน ทั้งนี้พนักงานต้อนรับสาวสวยยังมีเกมสืบสวนให้เราเล่นจากการสังเกตรอบๆ ด้วย ซึ่งหากทำสำเร็จจะได้บัตรสมาชิกชมรมนักสืบอย่างเป็นทางการ ห้องแรกที่พบเจอจะเป็นประวัติของผู้เขียน โดยตรงกลางมีรูปปั้นเหล่าเด็กๆ นักสืบรุ่นจิ๋ว ที่โดดเด่นไม่แพ้ใครคือรองเท้ายักษ์ที่พระเอกของเรามักใช้จับคนร้าย รอบห้องถูกจัดวางเป็นอย่างดีสำหรับแสดงอุปกรณ์ที่ผู้สร้างการ์ตูนเรื่องนี้เคยใช้
ต่อมาเป็นห้องเก็บหนังสือการ์ตูนโคนันจากรอบโลก ซึ่งน่าตกใจที่ถูกแปลมาแล้วกว่า 20 ภาษา ใกล้กันจะมีเกมให้เราเป็นโคนันบนสเกตบอร์ตได้เล่นฟรี ในห้องเดียวกันยังมีเกมขนาดเล็กที่ใช้เป็นปริศนาการฆาตกรรมเช่น สร้างห้องปิดตายหรือห้องลับที่ซ่อนจากกลกระจกเงาให้เราทดลองเล่น อีกเอกลักษณ์ที่โคนันใช้ประจำคือหูกระต่ายเปลี่ยนเสียง เผื่อว่าเราอยากสวมบทบาทเป็นโคโกโร่ นินทราดู
ระหว่างทางมีตัวการ์ตูนยืนต้อนรับไม่ขาดสาย บนชั้น 2 จะมีหุ่นเชิดเต้นรำของเหล่าด็อกเตอร์อากาซะ จอมโจรคิด นั่งดูเพลิดเพลินกันไป ทั้งบนนี้ยังเป็นที่เก็บผลงานภาพยนตร์การ์ตูนที่ต้องผ่านตาเรามาไม่มากก็น้อย
หลังจากเยี่ยมชมเสร็จแล้ว ทุกคนก็สามารถซื้อของที่ระลึก ทั้งขนม ตุ๊กตา หนังสือ ดีวีดีการ์ตูน ก่อนกลับเป็นของฝากได้ หากโอตาคุคนใดอยากจะมาเยี่ยมชมบ้านเกิดโคนัน ซึ่งทุกวัน ตั้งแต่ 09.30 – 17.00 น.

Fujiko F. Fujio Museum

Fujiko F. Fujio Museum 藤子・F・不二雄ミュージアム พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมือง Kawasaki จังหวัด Kanagawa (อยู่ติดกับโตเกียว) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงและรวบรวมผลงานต่างๆของ Fujiko F. Fujio นักวาดการ์ตูนผู้โด่งดัง และเป็นคนให้กำเนิดตัวการ์ตูนที่เป็นขวัญใจของเด็กๆมานานหลายทศวรรษอย่าง โดราเอมอน, ปาร์แมน, นินจาฮัตโตริ เป็นต้น เหมาะสำหรับเด็กรุ่นใหม่และผู้ใหญ่ที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับการ์ตูนของ Fujiko F. Fujio ครับ ถ้าพูดถึงคนไทยเรา ที่โตมาพร้อมกับช่อง 9 การ์ตูน ตื่นเช้ามาได้ดูโดราเอมอน ที่เราเรียกติดปากกันว่า โดเรมอนก่อนไปโรงเรียน รับรองว่าที่แห่งนี้จะเป็น อีกสถานที่ที่จะมอบความสุขและรอยยิ้มให้กับทุกๆคนได้แน่นอนครับ เข้าสู่เว็บไซต์ได้ที่นี่ >> Fujiko F. Fujio Museum
ff museum
วิธีการเดินทาง จากสถานี Shinjuku นั่งรถไฟ Odakyu สาย Odawara ลงที่สถานี Noborito ขบวนด่วนใช้เวลา 20 นาที ขบวนธรรมดาใช้เวลา 33 นาที ราคา 250 เยนเท่ากัน หลังจากนั้นให้ขึ้น Shuttle Bus ของทางพิพิธภัณฑ์ที่ด้านหน้าสถานี ใช้เวลา 10 นาที ค่ารถ 210 เยน
Fujiko Fujio Museum 1
รถ Shuttle Bus Fujiko F. Fujio Museum
Fujiko Fujio Museum 2
ด้านในตกแต่งเป็นลายโดราเอมอนทั้งหมด บางคันก็เป็นโดเรมี ^^
Fujiko Fujio Museum 3
ตั๋วต้องซื้อล่วงหน้า ผ่านทางร้านสะดวกซื้อ Lawson
ผู้ใหญ่ 1,000 เยน / เด็ก 12-18 ปี 700 เยน / เด็ก 5-11 ปี 500 เยน
เวลาทำการ 10.00 – 18.00 น. (หยุดทุกวันอังคาร)
Fujiko Fujio Museum 4
กำแพงทางเข้าด้านหน้า มีโดราเอมอนมาแอบมองเต็มเลย :D
Fujiko Fujio Museum 5
กำแพงด้านใน จุดบริเวณแลกตั๋ว อยากทำกำแพงที่บ้านเป็น 3 มิติแบบนี้บ้างจัง
Fujiko Fujio Museum 6
เนื่องจากตอนเช้าคนเยอะมาก เด็กๆเยอะมหาศาล และไม่อยากจะมาต่อคิวยาวช่วงเที่ยง เราเลยขึ้นมาชั้นบนสุด เพื่อหาอะไรลองท้องเช้านี้ก่อนที่ Museum Cafe ครับ แต่ขนาดขึ้นมาก่อนก็ยังต้องรอเกือบ 10 คิวแน่ะ…
Fujiko Fujio Museum 7
ระหว่างรอก็เดินมาที่บริเวณสวนลอยฟ้าด้านข้าง ถ่ายรูปรอเพลินๆ วันที่ไปฝนตกแต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคครับ เค้ามีร่มให้ยืมด้วย (เพราะว่าร่มที่เราเอามาเองต้องฝากไว้ที่ด้านนอกตรงทางเข้า)
Fujiko Fujio Museum 8
จุดนัดพบของพวกโนบิตะที่คุ้นตา มุดเข้าไปข้างในได้ด้วยนะครับ
แต่อายเด็กๆเลยไม่ทำ อีกอย่างเปียกด้วย :D
Fujiko Fujio Museum 8
อยากขึ้นไปนั่งบนหลังพีซึเกะ
Fujiko Fujio Museum 9
ประตูไปไหนก็ได้~ Doko demo door
Fujiko Fujio Museum 10
จากภาพยนตร์ตอนล่าสุด บุกดินแดนมหัศจรรย์ (ที่นำกลับมาทำใหม่) ต้องลองมองดีๆถึงจะเห็นรูปปั้น
Fujiko Fujio Museum 11
ชิลล์จังเลยน้า ~ ปาร์แมนกับบู้บี้
Fujiko Fujio Museum 12
แบร่~ ผีน้อยคิวทาโร่เองคร้าบบบ
Fujiko Fujio Museum 13
โดเรมี มาแล้ว~
Fujiko Fujio Museum 14
ถ้าใครรอไม่ไหวแวะซื้อมุม Take-Out นั่งรอไปพลางๆก่อนก็ได้ครับ มุมนี้ไม่มีคนเลย
(เพราะทุกคนรอจะเข้าไปกินด้านในกันหมด)
Fujiko Fujio Museum 15
แวะช้อปปิ้งที่ Gift Corner Fujikoya สักหน่อย
Fujiko Fujio Museum 16
คุกกิ้โดเรมีจังกับขนมปังช่วยจำ
Fujiko Fujio Museum 17
โดรายากิของโปรดของโดราเอมอน (อันนี้อร่อยมาก)
Fujiko Fujio Museum 18
เดินเที่ยวเล่นสักพัก กลับมาก็ถึงคิวพอดี เข้ามานั่งที่โต้ะสั่งอาหารกันเลย
ซองใส่ตะเกียบน่ารักมาก ด้านหน้าเขียนว่า Itadakimasu! จะทานละนะครับ
ด้านหลังเขียนว่า Gochisousamadeshita ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ครับ
Fujiko Fujio Museum 21
เครื่องดื่มเป็น Latte Art มีแต่กาแฟที่จะแต่งหน้าเป็นลายคาเเรคเตอร์ต่างๆให้ บอกได้ว่าอยากได้ตัวไหน สำหรับใครที่ทานกาแฟไม่ได้ โดยเฉพาะเด็กๆ ให้สั่งโกโก้ร้อน แต่ดูเหมือนว่าเค้าจะไม่ทำลายอาร์ทให้นะครับ น่าเสียดายจัง
Fujiko Fujio Museum 22
เมนูที่สั่งวันนี้คือ แอ่น แอน แอ้น~ ไจแอนท์คัทสึด้ง ข้าวหน้าหมูทอดไจแอนท์
Fujiko Fujio Museum 19
กับ โดเรียมอน (Doriamon) คล้ายกับ Gratin แต่ด้านล้างเป็นข้าว มีซุปให้ด้วย
Fujiko Fujio Museum 20
Fujiko Fujio Museum 23
Fujiko Fujio Museum 24
Fujiko Fujio Museum 25
หลังจากท้องอิ่ม ได้เวลาเดินชมพิพิธภัณฑ์กันแล้ว
Fujiko Fujio Museum 26
มองไว้ก่อนอยากได้ตัวไหน ที่ชั่นล่างเป็นมุมขายของที่ระลึก มีขายทุกตัว
Fujiko Fujio Museum 27
Collection ตั๋วที่เราแลกตอนขาเข้ามา เอาไว้ใช้เข้าไปดูหนังสั้นที่ F Theatre ใครได้ลายอะไรมาบ้างครับ
Fujiko Fujio Museum 28
ทางเข้า F Theatre ด้านในฉายเรื่องอะไรไม่ขอสปอยล์ละกันครับ อยากให้เข้าไปดูเอง ถึงจะสั้นแต่ก็สนุกมากๆ
Fujiko Fujio Museum 29
บริเวณชั้น 2 คือโซนจัดแสดงทั้งหมด มีทั้งมุมที่ถ่ายรูปได้และถ่ายรูปไม่ได้
ด้านในห้องที่จัดแสดงผลงาน Original ของอาจารย์จะไม่สามารถถ่ายรูปได้ครับ
Fujiko Fujio Museum 30
มุมที่ป๊อบที่สุด กับหนุ่มที่ฮอตที่สุดของพิพิธภัณฑ์
Fujiko Fujio Museum 31
ไจแอนท์สุดหล่อนั่นเอง ใครอยากเจอไจแอนท์ร่างนี้ก็ต้องใช้แรงกดคันโยกสักหน่อยนะครับ
Fujiko Fujio Museum 32
ตอนบ่อน้ำแห่งความซื่อสัตย์ ที่เราต้องตอบความจริงและจะได้ของที่ดีกว่า ซึ่งเป็นจังหวะที่โนบิตะกับโดราเอมอนตอบความจริงไปพอดี ไจแอนท์ก็พลัดตกลงไปในบ่อน้ำ เลยได้ไจแอนท์สุดหล่อกลับมาแทน
Fujiko Fujio Museum 33
แวะถ่ายสติ้กเกอร์หน้าแบ๊วก่อนกลับด้วยนะครับ (แบ๊วยังไงต้องไปลองดูเอง ^^)
Fujiko Fujio Museum 34
และแล้วก็มาถึงโซนละลายทรัพย์ ใครที่เป็นสาวกรับรองว่ามีเท่าไหร่ก็หมดตัวแน่นอน เตรียมเงินไปเยอะๆ :D
Fujiko Fujio Museum 35
ชื่อไจแอ้นท์ เขียนว่า GIAN นะครับ ไม่ใช่ Giant (เพิ่งรู้เหมือนกัน)
Fujiko Fujio Museum 36
ใครที่กำลังฝึกภาษาญี่ปุ่นอยู่ แนะนำให้ซื้อไปอ่านเลยครับ เพราะภาษาที่ใช้ง่าย อ่านเข้าใจง่ายและเอาไปใช้ได้จริง
Fujiko Fujio Museum 37
ชุดพนักงานน่ารักสุดๆ
Fujiko Fujio Museum 38